วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

COPY โปรแกรม จากคอมเครื่องหนึ่ง ไปอีกเครื่องหนึ่ง

COPY โปรแกรม จากคอมเครื่องหนึ่ง ไปอีกเครื่องหนึ่ง ย้ำนะครับว่า "โปรแกรม"
เจอแล้ว!! สุดยอดโปรแกรมในฝันของผมเคยไหมครับ บางครั้งต้องการ COPY โปรแกรม จากคอมเครื่องหนึ่ง ไปอีกเครื่องหนึ่ง ย้ำนะครับว่า "โปรแกรม" ไม่ใช่พวก Driver เพราะพวก Driver เขามีโปรแกรมสำหรับ Backup เยอะแยะ ผมจะไม่พูดถึงครับ บางโปรแกรมก็ก็อปปี้ธรรมดาได้ บางโปรแกรมก็ทำไม่ได้ เพราะไฟล์กระจัดกระจายไปทั่ว รวมถึงที่ฝังตัวใน Registry ด้วย จะทำยังไง ถ้าไม่มีแผ่น SETUP อย่างมากก็หาโหลดในเน็ต แต่บางโปรแกรมมันไม่มีให้โหลดแล้ว พลิกแผ่นดินหายังไงก็ไม่เจอ ผมมีทางออกให้ครับวิธีการจะ COPY โปรแกรมที่ต้องการนั้น คือ ใช้โปรแกรม PickMeApp ครับ
ดาวน์โหลด (31.86 KB)
8-8-2009 18:07หลังจากดาวน์โหลดแล้ว ติดตั้งโปรแกรม จะได้โฟลเดอร์เพิ่มขึ้นมา คือ dickMeApp0_5_9_27ให้ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ PickMeApp.exe เพื่อเข้าสู่โปรแกรมด้านซ้ายมือ มองหาโปรแกรมที่ต้องการจะ COPY ไปเครื่องอื่น เช่น ผมต้องการโปรแกรม Microsoft Photo Premium 10คลิกเพื่อเลือก กดที่บรรทัดนั้น จากนั้นให้กด Captureแล้วรอสักครู่..ทางฝั่งขวามือ จะเห็นโปรแกรม Microsoft Photo Premium 10 เพิ่มขึ้น ถือว่าเสร็จขั้นตอนของคอมเครื่องต้นทางจากนั้น ก๊อปปี้โฟลเดอร์ dickMeApp0_5_9_27 ไปใส่คอมพิวเตอร์เครื่องที่เราต้องการ (เครื่องปลายทาง)ดับเบิลคลิกเปิดโปรแกรม PickMeApp.exe ขึ้นมารอแป๊บหนึ่ง.. จะเห็นรายชื่อโปรแกรมที่เรา Capture เก็บไว้ คือ Microsoft Photo Premium 10 ให้คลิกเพื่อเลือก แล้วกดที่ Installสำเร็จครับ ลองเข้าไปดูที่ Add or Remove Programs ก็จะพบโปรแกรม Microsoft Photo Premium 10 อยู่ครับ....โปรแกรมนี้เว๊ปไซด์ผู้ผลิตบอกว่าใช้ได้กับ Windows XP และ Vista ครับ (ตัวที่ปล่อยเป็นเวอร์ชั่น 5_10_1 สามารถติดตั้งลง usb แฟลชไดวร์ได้ด้วย )ขนาดโปรแกรมเพียง 2.10 MB เท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นวัตกรรม web 2.0 technology ที่นำมาใช้ติดตั้ง

นวัตกรรม web 2.0 ทีนำมาใช้:
rss (ข่าวการศึกษา)

RSS ย่อมาจาก Really Simple Syndication คือ บริการที่อยู่บนระบบ อินเตอร์เน็ท จัดทำข้อมูลข่าวสารให้อยู่ในรูปแบบ XML เพื่ออำนวยความสะดวกให้ กับผู้ใช้ โดยส่งข่าวหรือข้อมูลใหม่ๆ ให้ถึงเครื่องตลอดเวลาที่มีการ Updateไม่ต้อง เสียเวลาเปิดเว็บไซต์เข้ามาค้นหา
ข้อดีของ RSS
RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะกรณีการละเมิด ลิขสิทธิ์ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อ ต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์เป็น ศูนย์กลางมากขึ้น

จุดเด่นของ RSS คือ ผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อดูว่ามีข้อมูล อัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดท ไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไซต์ ไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและ ฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์


YouTube
YouTube ก็คือเว็บ Video Sharing Web Sites คือเว็บไซต์ที่มีลักษณะเปิดให้ใครก็ได้นำคลิปวิดีโอที่ตนมีอยู่ไปฝากไว้ และสามารถนำฟังก์ชันต่างๆ ที่เว็บสร้างขึ้นมาไปช่วยในการเผยแพร่คลิปนั้นๆ ซึ่งปัจจุบันมีเว็บประเภทนี้มากมาย แต่ที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จัก และทำให้คนทั่วโลกหันมาให้ความสนใจกับการสร้างคลิปวิดีโอสู่ที่สาธารณะ เราต้องยกเครดิตนี้ให้กับเว็บที่ชื่อว่า YouTube


google calendar
เป็นปฏิทินที่สามารถใส่แผนงานและกิจกรรมต่างมีอีเมล์เตือนเมื่อใกล้ถึงวัน

shoutbox
shoutbox คือสถานที่คุยรวมๆ กัน ผ่านหน้าเว็บครับ คือคุยได้ทีนึงหลายๆคน โต้ตอบกันได้ในปัจจุบันทันด่วน

ative Commons Attribution 3.0 License เป็นสัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ของประเทศไทย


วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ Web 2.0

ความหมายและความแตกต่างของ Web 2.0

การใช้งาน Internet ในอดีตนั้นเป็นแบบ Web 1.0 เป็นการใช้ข้อมูลด้านเดียว เว็บ 1 เว็บจะมีผู้ใช้ 1 คนคือ web master หรือผู้สร้างเว็บ เป็นผู้ให้ข้อมูล และ ผู้เข้าชมเว็บเป็นผู้รับข้อมูล จะรู้จักแค่การรับ-ส่งอีเมล์ (E-Mail), เข้าแชตรูม (Chat Room), ดาวน์โหลดภาพและเสียง หรือไม่ก็ใช้ Search ผ่านเว็บ Search Engine เพื่อหาข้อมูลหรือรายงาน รวมทั้งการใช้ Web board เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คุณเคยเขียนวิจารณ์หนังสักเรื่องลงใน Blogส่วนตัวของคุณหรือเปล่า , หรืออาจจะเคยอ่านคำแนะนำการเลือกซื้อครีมบำรุงผิวยี่ห้อดังจาก Blog ของคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้, แชร์คลิปวีดีโอที่ทำเองให้คนอื่นได้เข้ามา ดู และออกความคิดเห็นรวมทั้งดาวน์โหลดไปเก็บได้ , เข้าไปวิจารณ์เรื่องสั้น ของนักเขียนสมัครเล่นในกระทู้ , สมัครรับข่าวสารสินค้าโปรโมชั่นลดราคา จากห้างสรรพสินค้าเจ้าประจำผ่านระบบ RSS ฯลฯ หากคุณตอบว่าใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่งจากทั้งหมด นั่นละ คุณกำลังสัมผัสเทคโนโลยี Web 2.0 อยู่ Web 2.0 ทำให้คำว่า Web ไม่ใช่แค่ Noun อีกต่อไป แต่มันเป็น Verb เป็นการติดต่อ 2 ทาง และผู้ใช้เองนั่นและเป็นผู้สร้าง Content ไม่ใช่ Content Provider อีกต่อไป

ความหมายของ Web 2.0 คือ Social network ที่เน้นการแบ่งปัน การแชร์กัน ของสิ่งที่ตัวเองมี โดยเขียนโพสท์ลงบน Blog Web 2.0 ถูกนำมากล่าวถึงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในการประชุม web development ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งนำโดย O’Reilly Media และ MediaLive International มีการตีความหมายของ Web 2.0 หลากหลายด้วยกัน ซึ่งสรุปได้ว่า Web 2.0 เป็นระยะที่สองของสถาปัตยกรรม และการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นยุคที่สองของให้บริการบนอินเทอร์เน็ต หลังจาก Web 1.0 เริ่มเสื่อมความนิยมลง
Web ในยุคที่ 2 นี้จะให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยผู้ที่เข้าไปใช้งานนั้นจะมีส่วนร่วมกับเว็บนั้น ๆ มากขึ้น และไม่ใช่แค่เพียงแวะเข้ามาเยี่ยมชม หรืออ่านอย่างเดียว แต่ยังมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ (Co-Creation) ให้กับเว็บไซต์แห่งนั้นอีกด้วย
การเกิดขึ้นของ Web 2.0 ได้ทำให้รูปแบบการนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป เกิดเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้งานเข้ามามีส่วนร่วมเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น
· Wikipedia สารานุกรมออนไลน์
· Weblog Wordpress.com Blogger.com หรือของไทยที่ Bloggang.com ที่มี blogจำนวนเกือบห้าแสน blog แล้ว
· Podcast จัดรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ของตัวเองได้เลย ได้รับความนิยมมากขึ้นจากยอดขายเครื่องเล่น mp3 แบบพกพาที่มากขึ้น
· Media Sharing Youtube.com, Flickr.com
· Social Network Hi5, Twitter
· อื่น ๆ Sourceforge.org, Google Maps, Google Earth

ความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ Web 2.0 (ดังรูปที่ 1)

รูปที่ 1 ความแตกต่างของ Web 1.0 กับ Web 2.0

1. Web1.0 แก้ไขอัพเดตข้อมูลต่างๆในหน้าเว็บได้เฉพาะ Webmaster หรือคนดูแลเว็บไซต์เท่านั้น แต่ Web2.0 สามารถสื่อสารตอบโต้ได้ทั้งผู้สร้างเว็บและผู้ใช้เว็บ เช่น Blog หรือการโพสต์กระทู้ต่าง ๆ
2. Web 1.0 สร้างเรตติ้งแบบปากต่อปากได้ยาก เนื่องจากสื่อสารทางเดียวแต่ Web 2.0 สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบปากต่อปากได้ดังไฟลามทุ่ง จากการแนะนำผ่าน Blog ส่วนตัว คุณอาจตัดสินใจซื้อครีมชนิดนั้นมาใช้เพราะคนที่ใช้แล้วดีมาเขียนบอกใน Blog หรือเลิกซื้อขนมปังยี่ห้อนั้นไปตลอดชีวิต เมื่อมีคนถ่ายภาพราขึ้นแฮมจากร้านนั้นมาลงให้ดู ซึ่งเป็นสิ่งที่ Web 1.0 ไม่อาจทำได้
3. Web 1.0 ให้ข้อมูลความรู้แบบตายตัว การเปลี่ยนแปลงแก้ไขขึ้นอยู่กับ Webmasterแต่ Web 2.0 สามารถต่อยอดข้อมูลต่างๆออกไปได้ไม่จำกัด และข้อมูลจะถูกตรวจสอบคัดกรองอยู่ตลอด ตัวอย่างเช่น Wikipedia ที่ใครก็สามารถเขียนในสิ่งที่ตนรู้ลงไปได้